Component Wear คือ การที่ชิ้นส่วนหรือส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือโครงสร้างมีการสูญเสียเนื้อวัสดุไปทีละน้อยจากการใช้งานต่อเนื่องตามระยะเวลาหนึ่ง สภาพนี้เกิดขึ้นจากการที่ชิ้นส่วนนั้นต้องสัมผัสกับแรงเสียดทาน การกระแทก หรือแรงกดดันจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผิวหน้าของชิ้นส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านรูปร่าง ความเรียบ หรือแม้แต่คุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ความแข็งแรงและความทนทาน
สาเหตุของการเกิด Component Wear มีได้หลากหลาย เช่น การเสียดสีระหว่างผิวของชิ้นส่วนสองชิ้นที่เคลื่อนที่สัมผัสกันตลอดเวลา หรือแม้แต่แรงภายนอกที่อาจมากระทำในรูปแบบของแรงสั่นสะเทือน หรือแรงกระแทก เมื่อเกิดการสึกหรอมากขึ้น จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของชิ้นส่วนนั้นลดลง เช่น อาจเกิดเสียงดังขณะใช้งาน เกิดการรั่วไหล หรือเกิดความผิดปกติที่อาจนำไปสู่การเสียหายของอุปกรณ์ทั้งหมด
ความสำคัญของการเข้าใจและติดตาม Component Wear อยู่ที่การสามารถคาดการณ์อายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ เมื่อสามารถทราบถึงระดับการสึกหรอ ก็จะสามารถวางแผนการบำรุงรักษา เปลี่ยนอะไหล่ หรือปรับปรุงกระบวนการใช้งานให้เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเสียหายอย่างกะทันหัน ลดต้นทุนการซ่อมแซมฉุกเฉิน และยืดอายุการใช้งานของระบบโดยรวม
การประเมินและติดตาม Component Wear สามารถทำได้ทั้งโดยการตรวจสอบด้วยตาเปล่า การวัดขนาดหรือรูปร่างที่เปลี่ยนแปลง หรือใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วย เช่น การตรวจสอบด้วยอุปกรณ์วัดความหนา หรือการวิเคราะห์เศษวัสดุที่หลุดออกมา การนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนในช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
ในทางปฏิบัติ Component Wear เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบ เลือกใช้วัสดุ และกำหนดวิธีการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ หากสามารถเลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติต้านทานการสึกหรอได้ดี หรือออกแบบชิ้นส่วนให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน จะช่วยลดปัญหาการสึกหรอที่อาจเกิดขึ้น ทำให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดปัญหา