Dielectric Strength คือ ความสามารถของวัสดุในการต้านทานแรงดันไฟฟ้าสูงโดยไม่เกิดการนำไฟฟ้าทะลุผ่านวัสดุนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ค่าความแข็งแกร่งของฉนวนไฟฟ้าที่สามารถป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ แม้จะมีแรงดันไฟฟ้าสูงก็ตาม โดยค่าดังกล่าวมักถูกวัดเป็น “โวลต์ต่อความหนาหนึ่งหน่วย” เช่น โวลต์ต่อมิลลิเมตร (V/mm) หรือโวลต์ต่อเซนติเมตร (V/cm)
ความสำคัญของ Dielectric Strength อยู่ที่บทบาทในการป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้เกิดการลัดวงจรหรือเสียหายจากไฟฟ้าแรงสูง หากวัสดุมีค่า Dielectric Strength ต่ำ อาจเกิดการทะลุของไฟฟ้า (breakdown) ได้ง่าย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อวงจรหรือเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ดังนั้น การเลือกใช้วัสดุที่มีค่า Dielectric Strength เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการออกแบบและผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
การวัดค่า Dielectric Strength จะใช้วิธีใส่แรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่แผ่นตัวอย่างวัสดุ จนกระทั่งเกิดการปล่อยกระแสไฟฟ้าทะลุผ่านวัสดุนั้น เมื่อเกิดการ breakdown จะถือว่าค่านั้นคือ Dielectric Strength สูงสุดที่วัสดุรับได้ก่อนจะสูญเสียคุณสมบัติการเป็นฉนวน โดยวัสดุแต่ละชนิดจะมีค่า Dielectric Strength ที่แตกต่างกัน เช่น กระจก พลาสติก ยาง หรือกระดาษฉนวน
ในการใช้งานจริง วัสดุที่มีค่า Dielectric Strength สูงจะถูกนำมาใช้สำหรับทำฉนวนในสายไฟ สวิตช์ไฟฟ้า หม้อแปลง และแผ่นวงจรไฟฟ้า เพื่อป้องกันการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าและลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร นอกจากนี้ยังมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ฉนวนในเครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการรองรับแรงดันไฟฟ้าสูง
การเลือกใช้วัสดุที่มีค่า Dielectric Strength เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน จะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ และทำให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อค่า Dielectric Strength ได้แก่ ความสะอาดของวัสดุ อุณหภูมิ ความชื้น และความหนาของวัสดุ ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุสำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงสูง