Marine Applications คือการนำวัสดุและเทคโนโลยีไปใช้ในสภาพแวดล้อมทางทะเลหรือเกี่ยวข้องกับการทำงานในทะเล ทั้งในงานก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน หรือเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำเค็มและความชื้นสูง เช่น เรือเดินทะเล แท่นขุดเจาะน้ำมัน ท่าเรือ รวมถึงถังเก็บน้ำมันหรือก๊าซที่ตั้งอยู่ในทะเล วัสดุที่ใช้ในงานเหล่านี้ต้องมีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดกร่อนและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญของ Marine Applications อยู่ที่ความสามารถของวัสดุที่นำไปใช้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรง เช่น น้ำทะเลซึ่งมีเกลือที่สามารถกัดกร่อนโลหะหรือวัสดุชนิดอื่นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องทนต่อแรงลม คลื่น และแรงกดดันใต้น้ำอีกด้วย หากเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้โครงสร้างหรืออุปกรณ์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น นำไปสู่ความเสียหายและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
ตัวอย่างของ Marine Applications เช่น การสร้างตัวเรือหรือเครื่องยนต์เรือที่ต้องใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ทนต่อการกัดกร่อน เช่น อะลูมิเนียมหรือสเตนเลส อีกทั้งยังมีการเคลือบสารพิเศษเพื่อป้องกันการเกิดสนิม หรือการใช้วัสดุคอมโพสิตที่สามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำและสารเคมีในน้ำทะเลได้ดี ในกรณีของแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล วัสดุที่ใช้ต้องสามารถรับแรงกดดันสูงและไม่เปราะแตกง่ายเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายฝั่ง วัสดุที่เลือกใช้ต้องมีความทนทานต่อแรงกระแทกและการกัดกร่อนจากน้ำทะเลตลอดเวลา เช่น คอนกรีตชนิดพิเศษที่มีสารผสมป้องกันการซึมของน้ำเค็ม หรือโลหะที่ชุบสารกันสนิม เพื่อยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวัสดุใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานในทะเลอีกด้วย
Marine Applications ยังส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับทะเล เช่น ระบบขนส่งทางน้ำ การผลิตพลังงานจากทะเล และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ด้วยการเลือกใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่เหมาะสม ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานและทรัพย์สินในระยะยาว