Notch Sensitivity คือ ความไวของวัสดุต่อรอยบากหรือรอยตำหนิที่เกิดขึ้นบนผิวหรือภายในชิ้นงาน ซึ่งมีผลต่อความแข็งแรงและความทนทานของชิ้นงานนั้นๆ เมื่อมีรอยบากหรือรอยตำหนิเล็กน้อย วัสดุบางชนิดอาจเสียความแข็งแรงลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่วัสดุอื่นๆ อาจทนต่อรอยบากได้มากกว่า ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Notch Sensitivity และเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับการใช้งาน
รอยบากหรือรอยตำหนิที่กล่าวถึงนี้ อาจเกิดขึ้นได้จากขั้นตอนการผลิต การตัด เจาะ หรือแม้แต่การใช้งานที่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ บนผิวชิ้นงาน รอยเหล่านี้จะทำให้เกิดความเค้นหรือแรงกระจุกตัวบริเวณขอบรอยบาก ทำให้โอกาสการแตกหักเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น วัสดุที่มี Notch Sensitivity สูง จะเกิดการแตกหักหรือเสียหายได้ง่ายแม้มีรอยบากเพียงเล็กน้อย ในขณะที่วัสดุที่มี Notch Sensitivity ต่ำ จะยังคงทนต่อแรงเหล่านั้นได้ดี
ความสำคัญของ Notch Sensitivity คือช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงในการใช้งานวัสดุในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การนำวัสดุไปใช้ทำโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักหรือแรงกระแทก หากวัสดุนั้นมี Notch Sensitivity สูง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณที่อาจเกิดรอยตำหนิ หรืออาจต้องออกแบบให้มีความหนามากขึ้นเพื่อชดเชยจุดอ่อนดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม วัสดุที่ Notch Sensitivity ต่ำจะเหมาะกับงานที่ต้องทนต่อสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดรอยตำหนิได้ง่าย
ตัวแปรที่มีผลต่อ Notch Sensitivity ได้แก่ โครงสร้างภายในของวัสดุ ความเหนียว ความเปราะ และสภาพการใช้งาน เช่น อุณหภูมิหรือความชื้น วัสดุที่มีโครงสร้างละเอียดและเหนียวจะมี Notch Sensitivity ต่ำ เพราะสามารถกระจายแรงที่กระทำต่อรอยบากได้ดีกว่า ในขณะที่วัสดุเปราะ เช่น เซรามิกบางชนิด จะมี Notch Sensitivity สูง โดยแตกหักง่ายหากมีรอยบาก
ในทางปฏิบัติ การรู้และเข้าใจ Notch Sensitivity ช่วยให้นำไปใช้เลือกวัสดุให้เหมาะสมกับงาน ลดโอกาสการเสียหายที่เกิดจากจุดอ่อนเล็กๆ ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ยังช่วยวางแผนการตรวจสอบและบำรุงรักษาชิ้นงานอย่างเหมาะสม เพื่อยืดอายุการใช้งานและเพิ่มความปลอดภัยของโครงสร้างหรือชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ